แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ GSM แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ GSM แสดงบทความทั้งหมด

4.03.2558

GSM

GSM : Global System Mobile

เครือขาย GSM (Global System for Mobile telecommunications) แบ่งลำดับชั้นของ โครงสราง (GSM Structure Hierarchy) ในเครือขายจะประกอบดวยพื้นที่การจัดการ  (Administrative Region) ของชุมสายโทรศัพทเคลื่อนที่ (Mobile Switching Center; MSC) หลาย ๆ ตัว โดยในแต่ละพื้นที่การจดการของชุมสายโทรศัพทเคลื่อนที่จะประกอบดวยกลุมของเซลลตาง ๆ เรียกวา “Location Area (LA)” หน่วยควบคุมสถานีฐาน (Base Station Controller; BSC) ทําหนาที่ ในการควบคุมกลุมของเซลลตาง ๆ ดังนั้นแตละ LA จะมีหนวยควบคมสถานีฐานอยางนอยหนึ่งตัว แตหน่วยควบคุมสถานีฐานอาจควบคุมกลุมของเซลลใน LA ที่ตางกันได ขนาดของแตละเซลลจะ ถูกกําหนดตามพื้นที่ที่สามารถรับสงสัญญาณไดของสถานีฐานรับสงสัญญาณ (Base Transceiver Station; BTS) สําหรับเซลลนั้นๆ เครือขายโทรศัพทเคลื่อนที่ (Public Land Mobile Network; PLMN) สามารถที่จะติดตอกับเครือขายประเภทอื่น ๆ เชน เครือขายโทรศัพท (Public Switched Telephone Networks; PSTN) เครือขายดิจิตอลแบบร่วมบริการ (Integrated Services Digital Networks; ISDN) เครือขายสื่อสารขอมูล (Public Data Networks; PDN) และเครือขาย โทรศัพทเคลื่อนที่อื่น ๆ (The other PLMN) ไดปจจัยต่าง ๆ ในการแบงลําดับชั้นของระบบไมไดมี เพียงเทานี้ขึ้นกับผูปฏิบัติการเครือขาย (Network Operators) แตละรายซึ่งต้องการใหเกิดประโยชน์สูงสุดเทาที่จะเปนไปได้

     โครงสรางและสถาปตยกรรมของระบบ GSM โครงสรางของระบบโทรศัพทเคลื่อนที่ GSM
ประกอบดวย 5 สวนหลักคือ
1. ระบบยอยสถานีฐาน (Base Station Subsystem; BSS)
2. ระบบยอยเครือขายและสวิตชชิง (Networks and Switching Subsystem; NSS)
3. ศูนย์กลางการปฏิบัติการและบํารุงรักษา (Operation & Maintenance Center; OMC)
4. ฐานขอมูลของเครือขาย
5. เครื่องโทรศัพทเคลื่อนที่ (Mobile Stations; MS) แตละ สวนมีการเชื่อมตอกัน




Credit : http://research.rdi.ku.ac.th/world/cache/10/KritsadakornINTAll.pdf

BSC

BSC : Base Station Controller

    BSC จะทําหนาที่ในสวนการควบคุมตาง ๆ ของ BTS เชน การทําแฮนด ออฟควบคุมการเริ่มและสิ้นสุดการโทรศัพทของผูใช BSC จะเปนหน่วยงานที่ติดตอกับ ชุมสายโทรศัพทเคลื่อนที่ (Mobile Switching Center; MSC) ในสวนของระบบยอยเครือขายและ สวิตชชิง

Credit : http://research.rdi.ku.ac.th/world/cache/10/KritsadakornINTAll.pdf

-------------------

    ระบบควบคุมสถานีฐาน (Base Station Controller,BSC) BSC ทำหน้าที่ monitor และควบคุมสถานีฐาน ซึ่ง 1 BSC อาจควบคุมสถานีฐานได้ 10 หรือ 100 สถานี แล้วแต่การออกแบบระบบ งานของ BSC คือการจัดการความถี่และการควบคุมสถานีฐาน และจัดการ functions ต่างๆ จากชุมสาย 
การติดต่อระหว่างสถานีฐาน (BTS) กับ ระบบควบคุมสถานีฐาน (BSC) จะเชื่อมโยงผ่าน Abis โดยทาง 2.048-Mb,PCM-30 link (32 slots X 64kbps = 2.048-Mb) fixed-line standard

Credit : http://channarongs.tripod.com/detail/gsm.htm

BTS

BTS : Base Transceiver Stations

   BTS จะทําหนาที่ในการติดตอกับโทรศัพทเคลื่อนที่ (Mobile Station; MS) ของผูใชโดยผานทางชองสัญญาณวิทยุ (Radio Channel) มีหนาที่ในการจัดเตรียมชองสัญญาณวิทยุ สําหรับการติดตอสื่อสารระหวางผูใช้กับเครือขาย นอกจากนั้นยังมีหนาที่วัดความแรงและคุณภาพ ของสัญญาณแลวสงขอมูลให BSC เพื่อตัดสินใจในการเปลี่ยนสถานีฐานที่จะรับสงสัญญาณของ ผูใช (Handoff) BTS จะทําหนาที่ในการรับสงสัญญาณเปนหลัก ในสวนของการควบคุมตาง ๆ จะทําเพียงบางส่วน เชน Error Protection Coding เปนต้น ฟงกชันสวนใหญ่ในการควบคุม BTS จะเปนหนาที่ของ BSC ซึ่งจะทําให้ BTS มีขนาดไมใหญ่จนเกินไป

Credit : http://research.rdi.ku.ac.th/world/cache/10/KritsadakornINTAll.pdf

------------------------------

     สถานีฐาน (Base Station or Base Transceiver Station) สิ่งที่ทำงานคู่กับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ภายในโครงข่ายของระบบ cellular คือสถานีฐานซึ่งถูกเรียกว่า base transceiver station (BTS) ,BTS จะเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่องโทรศัพท์ GSM ไปโครงข่าย โดยปกติตำแหน่งของ BTS จะอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของ cell size ,BTS 1 สถานี จะมี 1 -16 Transceivers แยกกันแต่ละ RF channel ,ความฉลาดบางอย่างที่มีสามารถในการตัดสินใจ ที่มีอยู่ในระบบ analog base stations และ host network ดังเช่น การวัดใน radio channels เพื่อหาจุดสำหรับ handover ,ในสถานีฐาน BTS ของระบบ GSM จะโยนหน้าที่นี้ไปให้ตัวเครื่องโทรศัพท์ GSM จึงทำให้ลดหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ ลงไป ทำให้โครงสร้าง GSM ถูกกว่าระบบ analog หลักการนี้มีดังนี้ ในโครงข่ายของ cellular จะทำการวัดสัญญาณความแรงของ cell size ที่ใช้งานอยู่ กับ cell size ข้างเคียง เมื่อสัญญาณจาก cell ที่ใช้งานอยู่อ่อนกว่า cell size ข้างเคียง ก็ทำการโอนไปใช้ยัง cell size ข้างเคียงที่มีสัญญาณแรงกว่า การโอนเปลี่ยน cell size ขณะใช้งานนี้ในระบบ analog เรียกว่า handoff ส่วนในระบบ GSM เรียกว่า handover ซึ่งมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้
ในระบบ analog สถานีฐานจะทำการวัด power level ของเครื่องโทรศัพท์ระหว่างใช้งาน เมื่อคุณภาพของสัญญาณต่ำลงเนื่องจากระยะทาง สถานีฐานก็ทำการสั่งให้เครื่องโทรศัพท์จับสัญญาณจาก cell size ข้างเคียงแล้วทำการวัด power level จากเครื่องโทรศัพท์รายงานไปยังโครงข่าย ถ้า power level ของcell size ไหนแรงกว่าแสดงว่าเครื่องโทรศัพท์อยู่ใกล้ cell size นั้น โครงข่ายก็จะตัดสินใจให้ไปใช้ channel ความถี่ของ cell size ใหม่ และสั่งให้เครื่องโทรศัพท์ tune ความถี่ไปยังความถี่ของ cell size ใหม่ใช้สนสนาต่อไป จะเห็นได้ว่าเครื่องโทรศัพท์จะเป็นลักษณะในการรับคำสั่งอย่างเดียวในกระบวนการ handoff การวัดและการทำงานกระบวนการตัดสินใจจะทำที่ตัว สถานีฐานและโครงข่ายทั้งสิ้น
ในระบบ GSM การ handover มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันคือ ในระบบ GSM เครื่องโทรศัพท์ GSM จะต้องทำการวัด power level ของ cell size ข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้สถานีฐาน (BTS) จะให้เครื่องโทรศัพท์ GSM ทำรายงานผลการวัด power level ของ channel ที่ใช้งานและ power level ของ cell size ข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการวัดส่งกลับไปให้สถานีฐาน (BTS) ในรูปของรายงานผลการวัด (measurement report) เป็นระยะๆ ,ที่ตัวสถานีฐานเองก็ทำการวัดคุณภาพสัญญาณของ power level ของเครื่องโทรศัพท์ GSM ที่ติดต่อมายังสถานีฐานด้วยอีกทางหนึ่ง ถ้าผลของการวัดแสดงถึงความจำเป็นในการ handover, ดังนั้นก็สามารถปฏิบัติการการได้เลยโดยไม่ชักช้า ความเหมาะสมในการ handover สถานีฐานจะรู้อยู่แล้ว โดยจุด thresholds สำหรับการ handover สามารถปรับให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขการทำงานที่เปลี่ยนไปได้
จากการลดภาระของสถานีฐาน (BTS) ในระบบ analog ที่ต้องสั่งการและประมวลผลให้กับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครื่องในระบบอยู่ฝ่ายเดียวตลอดเวลา ทำให้โครงสร้างของโครงข่าย GSM มีราคาถูกกว่าโครงข่ายของระบบ analog เป็นผลให้ประเทศต่างๆ หันมาติดตั้งระบบ digital cellular แทนระบบ analog เดิมเช่น AMPS, NMT, TACS เพิ่มมากขึ้น
การติดต่อระหว่างตัวเครื่องโทรศัพท์ GSM กับ สถานีฐาน (BTS) ใช้การเชื่อมต่อแบบผ่านอากาศ หรือ Radio Interface (Um)

Credit : http://channarongs.tripod.com/detail/gsm.htm

GMSC

GMSC : Gateway Mobile Switching Center

    ชุมสายโทรศัพทเคลื่อนที่ทางเขาออก (Gateway Mobile Switching Center; GMSC) ทําหนาที่ในการจัดเตรียมเสนทางไปยังเครือขายที่ไมเคลื่อนที่ (Fixed Networks) อื่น ๆ เชน เครือขายดิจิตอลแบบรวมบริการ (Integrated Services Digital Networks; ISDN) เครือขายโทรศัพท (Public Switched Telephone Networks; PSTN) และเครือขายสื่อสารขอมูล (Public Data Networks; PDN) เชน X.25 โดยการสงขอมูลขามเครือขายนี้จําเป็นต้องใชฟงกชนการท ั ํางานระหวางเครือขาย (Interworking Functions) ในการทําใหโปรโตคอลของ PLMN เขากันได (Mapping) กับโปรโตคอล ของเครือขายการสื่อสารอื่น ๆ

Credit : http://research.rdi.ku.ac.th/world/cache/10/KritsadakornINTAll.pdf

-----------------------

        ชุมสาย Switching ต่อผ่าน (Gateway Mobile Services Switching Centers ,GMSC) GMSC เป็นตัวเชื่อมโครงข่าย GSM ไปยัง PSTN, GMSC ทำงานในลักษณะของชุมสาย โดยทำหน้าที่บริการผู้ใช้ที่ทำการลงทะเบียนทั้งหมดในระบบให้สามารถเรียกจาก fixed network ผ่านทาง BSC และ BTS ไปยังเครื่องโทรศัพท์ GSM ในแต่ละเครื่องได้ หรือเรียกในทางกลับกันไปยัง PSTN ได้, GMSC ยังทำหน้าที่จัดการโครงข่ายสำหรับข้อมูลจำเพาะของเครื่องโทรศัพท์ GSM แต่ละเครื่องอีกด้วย จำนวนของ GMSC ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงข่าย และปริมาณการดำเนินการเชื่อมโยงไปยัง fixed network ในแต่ละคู่สายของ GMSC ถ้า traffic ภายในโครงข่าย cellular ต้องการความสามารถของ GMSC มากกว่า 1 GMSC ก็สามารถเพิ่มชุมสาย Switching (Mobile Services Switching Centers ,MSC) ให้ทำงานร่วมกับ GMSC โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับ fixed network ความสามารถของ GMSC และ MSC จะเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ MSC ไม่ต้องเชื่อมต่อกับ home location register (HLR) 
การติดต่อระหว่างระบบควบคุมสถานีฐาน (BSC) กับ ชุมสาย Switching (GMSC หรือ MSC) จะเชื่อมโยงผ่าน A-interface โดยทาง 2.048-Mb,PCM-30 link (CCITT G.703,ISDN standard, 32 slots X 64kbps = 2.048-Mb) fixed-line standard ระบบ switching ของ GSM PLMN เป็นลักษณะของ CCITT SSN7 protocol

Credit : http://channarongs.tripod.com/detail/gsm.htm

MSC

MSC : Mobile Switching Center
    
      ชุมสายโทรศัพทเคลื่อนที่ (Mobile Switching Center : MSC) ทําหน้าที่ในการจัดเตรียมเส้นทางในการสงขอมูลไปยัง MSC ปลายทางที่เหมาะสม MSC จะจัดเตรียมฟงกชันตาง ๆ ที่ใชในการลงทะเบียน (Registration) ตรวจสอบผูใช (Authentication) ปรับปรุงตําแหนงที่ อยูของผูใชใหถ ูกตอง (Location Updating) และการเปลี่ยนสถานีฐานในการรับสงสัญญาณ (Handoff) ในกรณีที่ขาม BSC หรือขาม MSC ที่ตางกันของผูใชนอกจากนี้ MSC ยังจัดเตรียมการ ติดตอกับฐานขอมูลตาง ๆ ที่จําเปนของผูใชเพื่อปรับปรุงขอมูล (Update) ใหถูกตองอยูเสมอ



Credit : http://research.rdi.ku.ac.th/world/cache/10/KritsadakornINTAll.pdf

3.02.2558

EIR

EIR : Equipment Identity Register
ระบบการลงทะเบียน ID ของอุปกรณ์เครื่องที่ GSM (Equipment Identity Register, EIR) EIR เป็น option นั้นคือ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ดำเนินการโครงข่าย อุปกรณ์ของ EIR เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของความปลอดภัยในระบบ GSM, ภายใน EIR เราจะพบ serial number ของอุปกรณ์เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ทั้งหมดในระบบ , international mobile equipment identity (IMEI) ไม่ได้เป็นเฉพาะ serial number แต่ยังแสดงโรงงานผู้ผลิต ประเทศผู้ผลิต และการรับรองรุ่น , ความคิดที่จะ check หลักฐานการลงทะเบียนหรือการ call setup ของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM เครื่องใดๆ ได้ขึ้นอยู่กับ IMEI ของตัวมัน เป็นการรับรองหรือ การ access เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไปในระบบ

Credit : http://channarongs.tripod.com/detail/gsm.htm

-------------------------

Equipment Identity Register (EIR) เปนฐานขอมูลที่เก็บขอมูลของอุปกรณ โทรศัพทเคลื่อนที่ โดยจะเก็บหมายเลขประจำตัวของอุปกรณโทรศัพท์เคลี่อนที่ (Mobile Equipment Identity) เพื่อจัดเตรียมบริการระงับใชงานอุปกรณโทรศัพท์เคลี่อนที่ชั่วคราวในกรณีที่ อุปกรณโทรศัพทเคลื่อนที่สูญหายหรือถูกโจรกรรมนอกจากนี้เครือขายยังสามารถแจ้งให ผูใชทราบ ถึงลักษณะของอุปกรณโทรศัพทเคลื่อนที่ที่ใชซอฟทแวรที่ลาสมัย

Credit : http://research.rdi.ku.ac.th/world/cache/10/KritsadakornINTAll.pdf

11.24.2557

2G

2G : Second Generation


ยุค 2G จะ เปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบอะนาล็อกมาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น Microwave 
ซึ่งในยุคนี้เอง  เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้ นอกเหนือจากการใช้งาน Voice เพียงอย่างเดียว
ในยุค 2G นี้ ... เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า cell site และก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) (ไม่ใช่ชื่อผู้ให้บริการนะครับ)  ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming

ยุค 2.5G
เป็นยุคที่พัฒนาต่อมาโดยการเข้ารหัสสัญญาณเสียง โดยบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอล 
การติดต่อจากสถานีลูก หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบส ใช้วิธีการสองแบบคือ 
TDMA -Time Division Multiple Access คือการแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็ก ๆ และแบ่งกันใช้ ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมาก
CDMA - Code Division Multiple Access เป็นการแบ่งการเข้าถึงตามการเข้ารหัส และการถอดรหัสโดยใส่แอดเดรสหมือน IP

ในยุค 2G จึงเป็นการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์แบบดิจิตอลหมดแล้ว
ยุค 2.5G หลังจากนั้น  ก็เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G ... ซึ่ง2.5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) นั่นเอง ซึ่งตามหลักการแล้ว ... เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps เลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น

การสื่อสารไร้สายยุค 2.5G ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีในระดับ 2G แต่มีประสิทธิ-ภาพด้อยกว่ามาตรฐานการสื่อสารไร้สายยุค 3G 

โดยเทคโนโลยีในยุค 2.5G สามารถให้บริการรับส่งข้อมูลแบบแพคเก็ตที่ความเร็วระดับ 20 – 40 Kbps 

สำหรับเทคโนโลยี 2.5G  ที่มีใช้อยู่ตอนนี้ก็คือ
-GPRS : (General Packet Radio Service) นับเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระดับ 2.5G
 
ยุค 2.75G 
เป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution)      

EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) เป็นทางเลือกก่อนก้าวเข้าสู่ยุค 3G อย่างต่อเนื่อง และคุ้มค่า

ความเร็วการส่งผ่านข้อมูลโดยประมาณของเทคโนโลยียุค 2.75G 

ความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดประมาณ 384 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps) และมีความเร็วในการใช้งานจริงประมาณ
80-100 กิโลบิตต่อวินาที (ความเร็วในการใช้งานจริงจะลดลงไปค่อนข้างมาก เนื่องจากระหว่างใช้งาน ระบบต้องแบ่งช่องสัญญาณบางส่วน ไปใช้งานทางด้านเสียงด้วย) 

--------------------------------------------------------------------------------

EDGE
  
เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution)
เทคโนโลยี EDGE   เป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ TDMA (Time Division Multiple Access) เป็นระบบการแบ่งเวลากันใช้ในช่องสัญญาณเดียวกัน  โดยเปรียบช่องสัญญาณให้เป็นเสมือนขนมชั้นที่ถูกวางอยู่ในแนวตั้ง เมื่อใดที่มีการใช้โทรศัพท์ เครื่องโทรศัพท์แต่ละเครื่องก็จะถูกจัดสรรเวลาให้ใช้ภายในช่องความถี่เดี่ยวกัน  
เทคโนโลยี EDGE เป็นการปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของเทคโนโลยี GPRS จึงกำหนดคำนิยามให้ EDGE ว่า ' การติดเทอร์โบให้กับ GPRS' 

ข้อดีของระบบ TDMA 

เวลาของผู้ใช้ทุกคนจะเท่ากันหมด ถือว่าทุกคนมีช่องเวลาที่ชัดเจนตายตัว จึงทำให้ง่ายต่อการจัดการข้อมูล โดยเฉพาะเรื่องของเสียง 
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องใช้ส่งข้อมูลปริมาณมากๆ ปัญหาด้านความเร็วจึงได้เกิดขึ้น (เนื่องจาก TDMA ถูกจำกัดความเร็วต่อช่องสัญญาณที่ 9.6 กิโลบิตต่อวินาทีเท่านั้น)   ผู้ประกอบการจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยการนำเอาช่องสัญญาณหลายๆ ช่องมารวมกัน เพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นคือที่มาของเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) แต่ความเร็วของ GPRS ก็ยังจัดว่าเป็นความเร็วที่รองรับในส่วนของวิดีโอคลิปได้ไม่สมบูรณ์อยู่ดี จึงได้มีการนำเอาระบบ EDGE เข้ามา ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS 

ลักษณะการทำงานของเทคโนโลยี EDGE 

เป็นการบีบอัดข้อมูลในอัตราส่วน 3:1  เทคโนโลยี EDGE จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า หรือมีความเร็วสูงสุดประมาณ 384 กิโลบิตต่อวินาที 
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น GPRS หรือ EDGE ก็ตาม ความเร็วการส่งข้อมูลที่ได้บนการใช้งานจริงจะต่ำกว่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดของระบบ TDMA ที่ต้องมีการแบ่งช่องสื่อสารสำหรับการใช้งานด้านเสียงไว้ด้วย (Technical Limited) 
ข้อดีของเทคโนโลยี EDGE

ผู้ให้บริการระบบ TDMA (GSM) นั้น สามารถอัพเกรดระบบให้รองรับเทคโนโลยี EDGE ได้อย่างไม่ยุ่งยาก โดยจะประหยัดทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก 

รูปการเปรียบเทียบอัตราเร็วในการรับส่งข้อมูล จะเห็นว่า EDGE มีความสามารถที่เทียบเท่ากับ ระบบ W-CDMA ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐาน UMTS แต่ใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่ามาก

ด้วยอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่สูงขึ้น ผู้ให้บริการเครือข่ายจึงสามารถให้บริการรายงานข่าว, การรับส่งไฟล์รูปภาพและเสียงเพลง, พาณิชย์อิเล็คทรอนิคส์ที่มีสีสันมากขึ้น ไปจนถึงการเปิดให้บริการสนทนาโทรศัพท์แบบเห็นหน้ากัน (Video Telephony) 

รูปการพัฒนาการบริการด้านสื่อสารข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน 
--------------------------------------------------------------------------------
ข้อจำกัดของเครือข่าย 2.5G และ 2.75G
เกิดขึ้นมาจากความพยายามพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GSM หรือ CDMA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่อาจบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว

เนื่องจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานมีการทำงานแบบ Time Division Multiple Access (TDMA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่า ต้องจัดสรรวงจรให้กับผู้ใช้งานตายตัว ไม่สามารถนำทรัพยากรเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
แม้เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ซึ่งถือเป็นการเสริมเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet Switching) ที่มีความยืดหยุ่นในการสื่อสารข้อมูลแบบ Non-Voice แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ถือว่าเป็นการ ต่อยอด บนเครือข่ายแบบเดิมที่มีการทำงานแบบ TDMA ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายต้องพะวงกับการจัดสรรทรัพยากรช่องสื่อสาร ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการแบบ Non-Voice ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลรบกวนต่อจำนวนวงจรสื่อสารแบบ Voice มากจนเกินไป ไม่มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G รายใดในโลก สามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยี GPRS ด้วยอัตราเร็วสูงสุด 
171 กิโลบิตต่อวินาที หรือ EDGE ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาทีได้ เพราะจะทำให้สถานีฐาน (Base Station) ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีวงจรสื่อสารเหลือสำหรับให้บริการแบบ Voice อีกต่อไป 
ในขณะเดียวกันก็มีบริการสื่อสารอัตราเร็วสูงแบบบรอดแบนด์ผ่านคู่สาย เช่น DSL (Digital Subscriber Line) เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้บริการ ผลที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้ใช้บริการก็คือความเชื่องช้าในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย 2.5G 
และ 2.75G ทำให้หมดความน่าสนใจที่จะใช้บริการต่อไป


Credit : www.boarddev.com
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

2G
การสื่อสารไร้สายยุค 2G ย่อมาจาก Second Generation Mobile Network คือ การสื่อสารไร้สายด้วยเทคโนโลยีระบบดิจิตอล ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้น ส่งผลให้การสื่อสารด้วยเสียง มีคุณภาพเพิ่มขึ้นสูงกว่าการ สื่อสารในยุค 1G ในอดีตที่ผ่านมา เทคโนโลยีในยุค 2G สามารถให้บริการการสื่อสารทางเสียง และสามารถรับ - ส่งข้อมูลแบบ (circuit-switch) ด้วยความเร็วที่ระดับ 9.6 – 14.4 Kbps ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยียุค 2G กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ในระดับ 2.5G, 2.75G และ 3G

2.5G

การสื่อสารไร้สายในยุค 2.5G ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีในระดับ 2G แต่มีประสิทธิภาพ ด้อยกว่ามาตรฐานการสื่อสารไร้สายยุค 3G โดยเทคโนโลยียุค 2.5G สามารถให้บริการรับส่งข้อมูลแบบแพคเก็ต ที่ความเร็วระดับ 20 – 40 Kbps ในทางปฏิบัติเทคโนโลยีจีพีอาร์เอส (GPRS) นับเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย ในระดับ 2.5G

2.75G
การสื่อสารไร้สายในยุค 2.75G เป็นมาตรฐานที่พัฒนาต่อยอดจาก GPRS เพื่อตอบสนองความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเข้าสู่ยุค 3G โดยมีเทคโนโลยี EDGE สำหรับระบบ GSM และ CDMA2000(1XRTT)  สำหรับระบบ CDMA


Credit : http://th-telecom.blogspot.com/p/glossary.html